Mindblown: a blog about philosophy.

พี่รู้ว่าพวกเธอชอบอ่านพวก Content อะไรที่ดูรวยๆ หรูๆ Hiso ทั้งหลายล่าสุดรุ่นน้องพี่คนนึงก็มาชวนพี่ไปซื้อ Birkin ที่ปารีส เพราะราคาถูกกว่าเมืองไทย พอใช้ซักระยะนึงเอาไปขายราคาที่เมืองไทยจะแพงกว่ามากกกกก กรี๊ดๆๆ ก็เห็นเพื่อนบอกว่า… อย่างกระเป๋า Kelly 28 Togo ที่มันขายในที่ปารีสมันขาย 280,000 พอมาอยู่เมืองไทยราคามันกลายเป็น 519,000 ใน Shop ที่เราหาได้ใน IG นั่นคือถ้าเธอซื้อปุ๊ปและมีเป้าหมายกลับมาเมืองไทย มันมีกำไรขั้นต้นเกิดขึ้นทันทีตอนขาย แต่เอาจริงๆ พี่ไม่ค่อยรู้เรื่องกระเป๋าหรอก พี่เลยไปถามข้อมูลจากกูรูเรื่องนี้ใน Clip Video รายการ Fluke Advice ของนิตยสารแพรว พูดถึงเรื่องการซื้อกระเป๋า Hermes ให้ได้กำไรทันที 30-40% ได้ข้อสรุปเป็นแนวคิดในการลงทุนแบบนี้ เราต้องมองว่า Hermes มันคือทรัพย์สินที่มีค่า มันมีราคาและคนยอมรับราคาของมัน ราคาจะขึ้นได้ตราบใดที่คนยังต้องการมันอยู่และค่าแรงของงานฝีมือแบบนี้มันขึ้นทุกปีๆ เราจะไม่สามารถย้อนกลับไปหากระเป๋าในวันที่ค่าแรงถูกแบบเดิมได้ (นี่รวมถึงพวกการซื้อ นาฬิกา อะไรพวกนี้ด้วย)   ศึกษาก่อนว่า Hermes รุ่นไหนมัน มัน Hit […]

Tinder คืออะไรหรอ? อย่ามาสตอ… รู้จักอยู่แล้ว มันเป็น application ที่ทำให้คนอยากเจอเพื่อนใหม่ๆ ไม่ว่าจะต่างเพศ หรือเพศเดียวกันมาพบเจอพูดคุยกันได้ พอ Match กันจะไปทำอะไรต่อก็เรื่องของเธอออ จุ๊ๆ พอเราไปเล่นเนี่ยเราก็พบว่า Tinder มันมีส่วนที่ให้จ่ายตังด้วย ก็เหงาไง อยากมีใครซักคน เดี๋ยวนี้มันก็ไม่ใช่ของฟรีแล้ว ผมลองกดเล่นๆดูว่ามันมีบริการยังไงบ้าง อันนี้เป็นตัวอย่างอันนึงนะครับ Upgrade ที่เป็น Package รายปีเกือบ 5,000 บาทแหนะเธอ ถ้ารายเดือนก็เกือบ 1,000 นึง แค่เธอเหงาแล้วจ่ายเงินให้เรา 1 ปี ซัก 100 คน เราก็มีรายได้มหาศาลเลย แอร้ย ว่าแต่ Tinder รวยขนาดไหน ผมไปค้นข้อมูลจากเวปที่เขียนเรื่องราวของ Tinder เขาบอกว่าในปี 2018 นี้ น่าจะเพิ่มจากปีที่แล้ว $400 เป็น $800 ล้าน โดยรายได้มาจากค่าบริการตรงนี้ล่ะ บทความดังกล่าวเขียนเอาไว้ว่า Tinder มี […]

ฮัลโหล แฟนเพจที่น่ารักของพี่ต้าร์ทุกคน วันนี้พี่ต้าร์จะมาเล่าเรื่องความเสี่ยงของการลงทุนให้ฟังว่ามันมีความเสียวอย่างไร คำว่าความเสี่ยงเนี่ยโดยส่วนตัวแล้วพี่มองว่ามันคือ “ความไม่แน่นอน” อาจจะดีหรือจะร้ายก็ได้ ซึ่งความไม่แน่นอนเนี่ยมันก็ทำให้เกิดความผันผวนในการลงทุนได้เหมือนกัน อะไรที่ความเสี่ยงสูงๆความไม่แน่นอนก็จะสูง โอกาสขาดทุนก็สูงในขณะที่โอกาสได้กำไรก็สูงเช่นกัน เพราะฉะนั้นแล้วถ้าเราพูดถึงความเสี่ยงกับเป้าหมายในการลงทุน ก็คงจะมองได้ว่า อีเจ้าความเสี่ยงเนี่ย มันทำให้เกิด “โอกาสที่จะเกิดความคลาดเคลื่อนของอัตราผลตอบแทนที่คาดหวังได้” ตัวอย่างบ้านๆ คือ คาดหวังว่าผัวจะเอาสินสอดมาให้ 10 ล้าน แต่ผัวเป็นคนไม่แน่ไม่นอน เดาใจยาก วันแต่งจริงอาจจะเอาสินสอดมา Surprise 12 ล้าน หรือ อยู่ๆบอกแกเอาไป 5 ล้านพอ เรื่องแบบนี้ก็เกิดขึ้นในการลงทุน ทรัพย์สินต่างๆอาจจะราคาขึ้นเกิดผลตอบแทนที่เราคาดหวังก็ได้ หรือราคาลงกว่าผลตอบแทนที่คาดหวัง บางทีลงฮวฟๆๆๆ ในช่วงที่ไม่ดีก็ได้ ในตอนนี้ก็จะเอาความเสียวของกองทุนแต่ละประเภทมาให้ดูเป็นตัวอย่างนะจ๊ะ ไม่เสียวเท่าไหร่ : กองทุนรวมตลาดเงิน  ตัวอย่างนี้ใช้ K-CASH ของ K-Asset มาดูย้อนหลัง 10 ปี ตั้งแต่ปี 2551 – 2561 จะเห็นได้ว่าราคากองทุนรวมนี้ขึ้นแบบไม่มีลงเลย จาก 11 บาทไปถึงเกือบ 12.9 บาท […]

บางทีไปอ่านบทความบางเวปเขาก็จะบอกว่า ผู้ชายจำนวนไม่น้อยพอเงินเดือนออกเขาจะฝากเอาไว้ที่ภรรยา แล้วภรรยาก็จะให้เงินใช้วันละ 200 – 300 บาท แล้วแต่ค่าครองชีพที่เหมาะสมกับการไปทำงาน จริงหรอออออ! ซึ่งพอไปถามผู้ชายบางคนเขาก็จะบอกว่า การให้เงินเมียเก็บเอาไว้มันก็มีข้อดีที่เขาจะบริหารเงินเอาไว้ในเรื่องการจัดการในบ้าน ให้ลูก แต่ก็แล้วแต่เมียของแต่ละคนอีกนะ ถ้าเมียที่เก็บเงินไม่เป็น บริหารเงินแย่ มันก็ทำให้บรรดาผัวปวดหัวได้ไม่น้อยเหมือนกัน โดยเฉพาะเงินที่เราต้องการเก็บไว้ยาวๆเอาไว้กินกันตอนเป็นตายายเนี่ย ถ้าไม่มีแย่เลย มีน้องมาถามผมว่าจะทำอย่างไรดีในการให้ภรรยามีวินัยทางการเงิน “โอ้ยยย เรื่องของพวกเธอป่ะ” ถ้าเมียเก็บไม่ได้จริงๆแนะนำให้ใช้ตัวช่วยในการเก็บเงินด้วยการตั้งภรรยาน้อยที่ชื่อว่า RMF กองทุนรวมเพื่อการเลี้ยงชีพ ถ้าอยากมีเมียเพื่อเก็บเงินให้ ก็ตั้ง RMF เป็นเมียน้อยเลยสิ จบ! เผลอๆอยู่ยาวกว่าเมียตัวเองอีก ฮาๆๆ RMF เป็นกองทุนรวมที่ได้สิทธิประโยชน์ทางภาษีของเราเหล่ามนุษย์เงินเดือน ซึ่งเราจะต้องทำตามเงื่อนไขของการลงทุน (เขียนกันยา 2561) ข้อมูลจากเวปผู้เชี่ยวชาญด้านภาษีให้ข้อมูลดังนี้ ลดหย่อนภาษีได้ตามจริง 15% ของรายได้แต่ไม่เกิน 500,000 บาท (เมื่อรวมกับกองทุนสำรองเลี้ยงชีพต้องไม่เกิน 500,000 บาทด้วยนะฮะ)   ซื้อต่อเนื่องทุกปี หรือ ปีเว้นปี ก็ได้   จะซื่้อกองเดียวหรือหลายกองก็ได้ ลงทุนขั้นต่ำ 3% ของรายได้หรือ […]

มีคำถามมาจากแฟนเพจที่น่ารักอีกแล้ว คำถามของนางก็ง่ายๆเกี่ยวกับกองทุนรวมหุ้น นางไปฟังสัมมนาแล้วทราบว่ากองทุนหุ้นนั้นมีการบริหารงานอยู่ 2 แบบคือ Active (รุก) Passive (รับ) แต่กองทุนหุ้นไม่มีแบบ Both รุก Both รับ นะเธอออ Active Management : ผู้จัดการกองทุนรวมจะบริหารกองทุนโดยคาดหวังว่าจะได้ผลตอบแทนที่ชนะดัชนีชี้วัด Passive Management : จะเป็นอีกรูปแบบหนึ่งที่ผู้จัดการกองทุนจะบริหารให้ได้ผลตอบแทนเคลื่อนไหวตามดัชนี ประเด็นที่น้องเขาถามมาว่า แล้วเราจะรู้ได้ไงว่า เธอเป็นรุกหรือเป็นรับล่ะคะ? โดยปกติแล้วถ้าเราสังเกตชื่อกองทุนรวมในเบื้องต้นก็พอจะเดาได้บ้างในระดับหนึ่ง (แต่ไม่ทั้งหมด) ในเบื้องต้นแล้วกรณีที่เป็นกองทุนแนวๆ Passive Fund มักจะมีชื่อดัชนีอ้างอิงต่อท้าย เช่น ลงท้ายด้วย SET SET50 เป็นต้น แต่ถ้าจะเอาให้ชัวร์ เราควรไปเปิดดูหนังสือข้อมูลการลงทุน เขาจะเขียนเอาไว้เลยว่ากองทุนนั้นๆใช้นโยบายแบบไหน ตัวอย่างเช่น KFDYNAMIC : Active Management SCBSET50 : Passive Management (อ้างอิง SET50 เจ้าค่ะ) แต่อย่างที่บอกแหละว่า ไม่ใช่ทุกกองทุนที่เราเห็นชื่อปุ๊ปจะสรุปได้เลยว่าเป็นรุกหรือรับ เพราะบางกองดูเหมือนเป็นรับ แต่เอาเข้าจริงเป็นรุกก็มีนะเธอ […]

ได้มีโอกาสกลับมาดูหนังเรื่อง “รถไฟฟ้ามาหานะเธอ” อีกครั้ง ก็รู้ว่าหนังเก่าแล้วตามวัย แต่อารมณ์ของหลายๆคนยังไม่ได้เก่าหรอกเพราะโลกนี้ยังคงมีความเหงาและทำให้ใครหลายๆคนมองหาใครซักคน ถ้าเราสังเกตคนในสังคมปัจจุบันจะพบว่าคนเราเหงากันเยอะ และความเหงานั้นก็ระบาดได้อีกด้วยนะ คนนั้นเหงา คนนี้ก็เหงา คนโสดเต็มบ้านเต็มเมืองเลยตอนนี้ ทีนี้ถามว่าเราจะมองในเชิงโอกาสของการลงทุนได้อย่างไร? เราก็ต้องมานั่งวิเคราะห์กันในแง่ของ Demand กับ Supply Demand ของคนเหงาคือ “การได้พบปะใครซักคน” Supply ที่วิเคราะห์ได้คือ “สถานที่ทำให้คนได้มีโอกาสเจอกัน” สถานที่ที่ทำให้คนมาเจอกัน เกิดการพูดคุยกัน ทำให้เกิดการปฏิสัมพันธ์กัน คิดถึงอะไรกันบ้าง มาดูธุรกิจที่มีโอกาสเกิดจากความเหงาได้ครับ Application แนวๆ Dating อันนี้เห็นได้ชัดเจนเลยว่าเข้ามาช่วยแก้ปัญหาในเรื่องความเหงา ไม่ต้องใช้เงินอะไรมาก โหลดอย่างเดียว แล้วก็มานั่งๆเลื่อนหาคนที่เราชอบ ถ้าความต้องการตรงกันระบบก็จะให้คุยกัน App พวกนี้เฟื้องฟูมากตามความเหงาของคน อย่างน้อยก็มีเพื่อนคุยนะ ถ้าจะมากกว่านั้นก็ค่อยว่ากันอีกทีนึง และที่ล้ำไปกว่านั้นแล้วก็คือเพื่อนเช่า รับจ้างเที่ยวเป็นเพื่อน ร้านกาแฟ ช่วงหลังจะเห็นร้านกาแฟเยอะมาก เพราะมันเป็นแหล่งพบปะผู้คน นัดเพื่อนเม้าท์ นัดดูตัว นัดทั้งหลายมันเริ่มจากที่นี่ มันนั่งคุยกันยาวๆได้ เอางานมาทำแล้วนั่งมองคนอื่น จิกไปจิกมา และคิดว่าคงไม่มีใครนัดเม้าท์กันตามร้านขายข้าวแกงหรอกเพราะปกติจะรีบๆกินรีบๆไป นอกจากนี้มันยังมีการพัฒนาสถานที่ให้กลายเป็นที่พบปะกันของบรรดาคนทำงานที่เราเรียกว่า Co-Working Space ด้วยนะ Event […]

เดอะนัน The None เป็นเรื่องราวนี้มักจะเกิดขึ้นกับมนุษย์เงินเดือนหลายๆคน ที่ใช้เงินกันเป็นระวิงในช่วงต้นเดือนหลังจากเงินเดือนออก และพอถึงปลายเดือนก็จะเกิดอาการหวาดผวา ไม่กล้าไปไหน เพื่อนชวนออกไปข้างนอกก็มักจะปฏิเสธไปว่า ไม่มีตังค์แล้วววว แล้วถ้ามีคนมาทวงหนี้ด้วยเนี่ย จะไม่กล้ารับโทรศัพท์เลยด้วยเธอ (เดี๋ยวโดนมันด่า)   วิธีไล่ผีเดอะนันนั้นมีสามารถทำได้หลายอย่าง แต่หัวใจหลักของเราก็คือ การบริหารและวางแผนการใช้จ่ายให้ดี โดยมีสูตรง่ายๆดังนี้   เมื่อเงินเดือนออก ต้องคิดเสมอว่า จะบริหารเงินก้อนนี้อย่างไรให้เกิดประโยชน์สูงสุดและใช้เพียงพอ ทั้งในเรื่องค่าใช้จ่าย และ การเก็บเงินออม ตลอดทั้งเดือน   ค่าใช้จ่ายในแต่ละเดือนของเรานั้นมีหลายอย่าง ลองเขียนออกมาเป็นรายการดูว่า อันไหนคือสิ่งที่จำเป็นจริงๆและอันไหนคือค่าใช้จ่ายในความสุขที่มักจะใช้เกินลิมิต ชีวิตเต็มร้อย ถ้าเก็บเงินไม่อยู่ ลองตั้งงบประมาณและควบคุมการใช้จ่ายให้เหมาะสมดู   ควรมีเงินออมให้ได้ทุกเดือนเพื่อนำไปต่อยอดสร้างความมั่งคั่งงอกเงย เงินออมจะเกิดขึ้นได้เมื่อรายรับมากกว่ารายจ่าย วิธีที่ง่ายที่สุดคือการกำหนดเงินออมเลย เงินเดือนออกปุ๊ป ออมตามกำหนดทันที   อย่าไปก่อหนี้โดยไม่จำเป็น หากเป็นหนี้จริงๆต้องเป็นหนี้อย่างชาญฉลาด มีแผนการชำระเงินที่รองรับไว้ไม่ให้เราเดือนร้อน เช่น หนี้บ้านที่สร้างความมั่งคั่ง หนี้ที่เกิดจากซื้อรถไปทำธุรกิจหรือลดต้นทุนการเดินทาง พยายามเลี่ยงหนี้ที่เกอดจากความอยากบริโภคมากขึ้นจนเกินตัว   หากเราวางแผน รายรับมา รายจ่ายเหมาะสม เงินออมสูงขึ้น และหนี้สินควบคุมได้ เดอะนัน ก็จะไม่เกิดขึ้นกับเราครับ จุฟๆ […]

คิดว่า Aging Society มีผลตอบการเติบโตของเศรษฐกิจไหม? เรื่องนี้เป็นเรื่องที่น่าสนใจมากและเร็วๆนี้ก็น่าจะเกิดขึ้นในสังคมไทยนะครับ ถ้าเรามองคร่าวๆแล้วอาจจะคิดว่าคนก็คงบริโภคน้อยลงแหล่ะ แต่มันจะส่งผลในระดับประเทศไหม ถ้าเรามองในหลักการนะ มันจะเป็นแบบนี้   เมื่อประชากรมีจำนวนมากขึ้น ความต้องการในสินค้าและบริการก็จะมากขึ้น   พอนายทุนเห็นความต้องการนี้ เขาจะอีดฉีดเงินทุนออกมาจ้างแรงงานและซื้อเครื่องจักรเพื่อให้เกิดการผลิตที่สูงขึ้น   ช่วงที่มีความต้องการแรงงานมาก นายจ้างจะประมูลค่าจ้างแข่งกับนายจ้างคนอื่น ทำให้แรงงานมีฐานะความเป็นอยู่ที่ดีขึ้น   การผลิตที่มากขึ้นตจากแรงงานที่มีทักษะจะทำให้เกิดการประหยัดจากการผลิต ต้นทุนก็จะถูกลง กำไรก็จะมากขึ้น   ท้ายสุดมันก็จะกลับมาเป็นผลกำไรของนายทุน ซึ่งเขาจะนำไปต่อยอดการลงทุนเพิ่มการเจริญเติบโตทางเศรษฐกิจต่อได้   จากเรื่องที่เล่าให้ฟัง หากมันเกิดในรูปแบบตรงข้าม นั่นก็หมายความว่าการถดถ่อยนั้นจะไม่ใช่แค่ว่า ของจะขายไม่ดีเท่านั้น แต่มันมีผลต่อการลดทอนความมั่งคั่งระดับประเทศเลยอีกด้วย — อดัม สมิท เคยเปรียบเทียบระหว่างอังกฤษที่มีความร่ำรวยและอเมริกาที่ยังไม่รวยแต่กำลังเติบโตสูงในหนังสือของเขา พบว่า ค่าแรงทั่วๆไปในนิวยอร์คคือ 3 ชิลลิง 6 เพนซ์ สูงกว่าลอนดอนที่จ่ายกัน 2 ชิลลิ่ง แถมราคาของในอเมริกาถูกกว่าด้วยนะสิ นี่ก็เป็นตัวอย่างในสมัยนั้นเพราะอเมริกาคนเกิดเยอะและคนอพยพเข้าไปเยอะ ความต้องการเยอะ ก็แย่งแรงงานกัน ค่าแรงสูง ผลิตได้เยอะ ของก็ถูกลง กำไรก็โต ความมั่งคั่งเหลือหลาย หญิงโสดก็พร้อมมีผัวมากขึ้นเพราะผัวมีงานมีเงินที่มากพอจะดูแลคนได้มากกว่าดูแลตัวเอง […]

สวัสดีจ้าเด็กๆ หลังจากที่ทาง กลต. ได้มีโครงการ 5 ขั้นมั่นใจลงทุน เพื่อจะนำสถาบันการเงินมาออกแบบการลงทุนให้กับพวกเรา พี่ก็เลยเข้าไปนั่งเล่นๆในเวป ว่าข้อมูลเป็นยังไงบ้าง ก็แอบไปเห็นว่า ผู้ให้บริการแต่ละที่ที่เราจะใช้บริการจะกำหนดเงินลงทุนขั้นต่ำไม่เท่ากัน มาดูกันเธอว่าแต่ละที่กำหนดเอาไว้ยังไงบ้าง ธนาคารกรุงเทพ 1,000,000 บาท ธนาคารไทยพาณิชย์ 2,000,000 บาท ธนาคารกสิกรไทย 500 บาท (ห้าร้อยบาทจริงๆ) ธนาคารทหารไทย 100,000 บาท ธนาคารกรุงไทย 1,000 บาท ธนาคารซิตี้แบงค์ 1,000,000 บาท จะเห็นได้ว่าในโครงการนี้ ธนาคารส่วนใหญ่จะมีการกำหนดขั้นต่ำค่อนข้างสูงระดับหลักแสนถึงล้านบาท ยกเว้นธนาคารกสิกรไทยและธนาคารกรุงไทยที่มนุษย์เงินเดือนอย่างเราเข้าถึงได้ง่ายกว่า แต่อย่างไรก็ตามยังมีผู้ให้บริการอีกหลายรายที่เป็น บริษัทประกัน บลจ. บล. บลน. ซึ่งบางที่กำหนดเงินขั้นต่ำที่คนธรรมดาอย่างเราเอื้อมถึงมากกว่าหลักล้านบาท เช่น บล. ฟิลลิป 5,000 บาท เว็ลธ์ เมจิก 500 บาท โรโบเวลธ์ 1,000 บาท ฟินโนมีนา 500 บาท […]

ถ้าเราสังเกตเหตุการณ์ที่ผ่านมา จะเห็นได้ว่าสงคราม Payment เป็นอะไรที่เล่นกันเลือดสาดกระเจิง เชือดกันกระจาย ทั้งธนาคาร ผู้ประกอบการ Fintech บริษัทที่รับจ่ายเงิน คนทำงาน และผู้ถือหุ้น ซึ่งเรื่องมันเริ่มมาจากที่เราจะไป Cashless Society หรือสังคมไร้เงินสด ที่มันมีต้นทุนเกิดขึ้นตั้งแต่เราพิมพ์แบงค์ออกมาใช้แล้ว ไม่รวมเวลานับเงิน ทอนเงิน กิจกรรมพนักงานตามสาขาอีก และต่อมาธนาคารก็ได้ร่วมกันประกาศไม่เก็บค่าธรรมเนียมเวลาโอนเงินผ่านมือถือข้ามแบงค์ (ซึ่งเมื่อก่อนนะ ข้ามแบงค์ข้ามเขตที กรี๊ดสลบ 5555) ผลกระทบมันก็ต่อเนื่องมาสู่ธุรกิจรับชำระเงินต่างๆไงจ๊ะ เอาแค่ง่ายๆถ้าเธอจ่ายบิลผ่านมือถือ โดยที่ค่าธรรมเนียมเท่ากับไปจ่ายที่ช่องชำระเงินข้างนอกบ้าน แค่นี้เธอมีต้นทุนแล้ว ตั้งแต่งองค์ทรงเครื่อง เดินออกจากบ้านไปที่ตู้ รอคิว สารพัด เผลอๆจ่ายผ่าน Application ของธนาคารฟรีค่าธรรมเนียมให้อีก มันก็เลยกลายเป็นความสะดวกไง จะแก้ผ้าจ่ายบิลบนเตียงมันทำง่ายและไม่เสียเวลา นั่นล่ะ บรรดาช่องรับชำระเงินมันก็เลยเกิดผลกระทบ ทีนี้ในตลาดที่แข่งขันกันเนี่ย มันก็ไม่ใช่ว่าทุกคนจะมี Smart Phone ในการชำระเงิน มันยังมีคนที่ไม่ได้ใช้มือถือแบบลง App ได้ ยังมีเด็กที่ยังต้องใช้เงินสดเต็มเกมส์ บางคนสะดวกหยอดเหรียญ บ้านเรามีแรงงานต่างด้าวที่ไม่มีบัญชีธนาคารแต่ต้องการเติมเงินมือถือ ฯลฯ —   FSMART vs […]