อยากจะแชร์ประสบการณ์ให้ฟังซักนิดนะครับ เกี่ยวกับธุรกิจที่อยู่ในเทรน กระแส เป็นของร้อนๆที่กำลังได้กำไรดี ท้ายสุดตอนจบมันอาจจะไม่ได้สวยหรูกับเรา
ปกติแล้วเวลาที่เราลงทุนไม่ว่าจะเป็นหุ้นหรือธุรกิจทั่วไปนอกตลาดก็ตาม การเติบโตตามธรรมชาติ มันจะเป็นอะไรที่ดูมีเหตุมีผลที่สุด มันไปของมันเรื่อยๆตามสภาพความเป็นจริงของตลาด เราวามารถจัดการทุกอย่างได้แบบปกติของเรา เช่น การจัดการต้นทุน สินค้า ลูกค้า และเรื่องต่างๆทางธุรกิจ
แต่ในหลายๆครั้ง เราจะพบกับเหตุการณ์ที่ทำให้สินค้าบางอย่างกลายเป็นของร้อน ซึ่งทำให้เกิดความผิดปกติในเหตุการณ์นั้นๆ
ถ้าผมยกตัวอย่างง่ายๆเช่น เราเปิดร้านอาหารทั่วไป แล้วอยู่ๆแถวนั้นมีการจัดงานดนตรีแสงสีเสียง 7 วัน 7 คืน ทำให้คนหลั่งไหลเข้ามาที่ร้านเรามากขึ้นเพราะเราอยู่บริเวณที่มีกระแส ร้านเราจะขายดีมาก
เราอาจจะตัดสินใจที่จะใช้โอกาสจากเหตุการณ์นั้นๆทำกำไรให้มากขึ้น เช่น สต็อกของมากขึ้น จ้างคนมาช่วยงานเพิ่ม มีการเพิ่มราคาในช่วงพิเศษ เอาโต๊ะมาเพิ่มเพื่อขยายร้าน ซึ่งตรงนี้อยู่ที่การตัดสินใจของแต่ละคน ซึ่งโจทย์ตรงนี้มันทำให้เราตัดสินใจง่ายเพราะมันมีกำหนดระยะเวลาชัดเจนว่างานจะจบลงเมื่อไหร่ มันถึงบริหารจัดการง่าย
แต่กรณีที่เป็นธุรกิจที่ได้รับผลประโยชน์จากเหตุการณ์ที่คาดการไม่ได้ เช่น การแพร่ระบาดของไวรัสโคโรน่า ที่ทำให้ความต้องการของของหลายๆอย่างมากขึ้น ราคาสินค้าก็จะสูงขึ้น แน่นอนว่าการเติบโตแบบนี้มันไม่ได้เกิดขึ้นตามธรรมชาติ
เราจะเห็นตัวอย่างที่ผ่านมาไม่ว่าจะเป็นหน้ากากอนามัย เจล แอลกอฮอล์ หรืออุปกรณ์ทางการแพทย์บางอย่าง มีราคาเพิ่มสูงขึ้น และหลายคนก็เข้ามาเพื่อสร้างผลกำไรในตลาดนี้ ไม่ว่าจะเป็นการผลิตไปขาย สต็อกสินค้า แต่เมื่อเวลาผ่านไปกระแสมันหายไป สินค้าไม่ได้ขาดแคลน หรือ ความต้องการลดลงไป ราคาสินค้าก็จะปรับตัวลงมาให้อยู่ในระดับที่ควรเป็น
สิ่งที่เกิดขึ้นก็คือ คนที่สต็อกสินค้าเยอะๆในราคาที่สูงๆ อันนี้เป็นตัวอย่างสมมติที่เล่าง่ายๆนะครับ เช่น
1. ปกติซื้อของมาขาย 1,000 ชิ้น ต้นทุนชิ้นละ 1 บาท นำไปขายชิ้นละ 2-3 บาท
2. อยู่ความต้องการเพิ่ม ซื้อ 1,000 ชิ้น ราคาปรับขึ้นเป็น ชิ้นละ 5 บาท ในตลาดขายปลีกกัน 10 บาท
3. ราคาทยอยปรับตัวสูงขึ้นไปเรื่อยๆ ทำให้เราตัดสินใจ สต็อกสินค้าไว้ 100,000 ชิ้น ชิ้นละ 4 บาท (ซื้อเยอะ ได้ส่วนลด)
4. ความต้องการลดลง กลับมาขายกันต้นทุน 1 บาท ราคาขายปลีก กลับมาอยู่ที่ 2-3 บาท (ส่วนเรามี 1 แสนชิ้น ต้นทุน 4 บาท)
5. ถ้าเราเอาไปขาย 5 บาท ก็ไม่มีใครซื้อเขาไปซื้อที่อื่น เราก็ต้องขายขาดทุนที่ 2 หรือ 3 บาท ก็จะขาดทุน 1-2 แสน ถ้าขายหมด ถ้าอยากได้เงินสดเร็วกว่านั้นก็ต้องขายขาดทุนกว่าเดิม
กลไกมันเป็นแบบนี้ล่ะครับ พวกที่ได้ประโยชน์จาก Event บางครั้งมันหอมหวนถ้าได้กำไรนะ มันได้กำไรเยอะมาก แต่เราไม่รู้ว่าเหตุการณ์จะจบเมื่อไหร่ และเราคาดการณ์ต่างๆเพื่อจัดการสินค้า ต้นทุน ต่างๆได้ดีหรือไม่
ท้ายสุดก็ไม่ต่างจากการติดดอยหุ้นปั่นหน่ะครับ บางคนอาจจะมองว่า ไม่ขายไม่ขาดทุนก็ได้นะครับ แต่อย่าลืมว่าสินค้าของเราจะเก่าไปเรื่อยๆได้เหมือนกัน เราทุกคนชอบของใหม่ที่มีราคาถูกกว่าเสมอ ถ้าของมันเหมือนกัน
กรณีที่เป็นหุ้น ก็ต้องวิเคราะห์กันต่อนะว่า สิ่งที่อยู่ใน Event มันจะได้ประโยชน์ระยะยาวหรือเปล่า บางทีมันเกิดเหตุการณ์ผิดปกตินะ เราดอยก็จริง แต่หุ้นมันอยู่ในเทรนการเติบโตของโลกอนาคตก็จริง ติดดอยก็จริง แต่มันมีเทรนมารองรับได้ก็พอไปได้ต่อ แต่ก็ต้องไปดูองค์ประกอบอื่นๆด้วย เช่น ความได้เปรียบในการแข่งขันต่างๆ ปัจจัยความเสี่ยงอื่นๆ
เรื่องแบบนี้มันเกิดมาเยอะล่ะ มีตั้งแต่สมัยโบราณ การเกิด Tulipmania ในศตวรรตที่ 17 ในปัจจุบันเราก็เห็นอยู่เรื่อยๆ อะไรแบบนี้ก็ต้องระวังความเสี่ยงดีๆจ้า
Ads โฆษณา สินค้าพี่เองครับ
สนใจวางแผนการเงินจากที่ปรึกษาทางการเงินและซื้อประกันกับทีมงานผู้เชี่ยวชาญ เพื่อช่วยในเรื่องการป้องกันความเสี่ยง ทำแผนเกษียณ มนุษย์เงินเดือนประมาทไม่ได้เนอะ สนใจติดต่อเจ้ฮวยรวยพร้อมเพื่อนได้เลยครับ หรือกดที่รูปได้เลยครับ
Unicorn Almonds อันดับ 1 ของถั่วเคลือบรสเพื่อสุขภาพ หวานน้อย อร่อยมาก สามารถคลิ๊กเพื่อสั่งซื้อได้ทาง Shopee ครับ คลิ๊กที่รูปได้เลย