ช่วงนี้มีแชร์ลูกโซ่โดนเล่นงาน ถล่มเยอะมาก จนหลายๆคนมาถามว่า ถ้าไม่ใช่แชร์ลูกโซ่เนี่ย มันมีอะไรให้ผลตอบแทนสูงกว่า หุ้น กองทุนรวมไหม? แบบว่า 5-10% ต่อเดือน
จากประสบการณ์ของตัวเอง มันก็มีแหละ อี 5-10% ต่อวันเนี่ย มีอยู่แล้ว จะให้ได้ 100% ก็มีค่ะ แต่สิ่งทีเป็นความจริงคือ
“มันไม่ได้การันตีว่าจะได้ และ มันขาดทุนได้”
ก็เพราะการลงทุนมีความเสี่ยง…
—
ถ้าตัวทรัพย์สินนั้นไม่ได้ให้ผลตอบแทนในตัวเยอะ แต่สิ่งที่มันทำให้ 5-10% ต่อวันเกิดขึ้นได้นั้นก็มี นั่นคือ Leverage ซึ่งแปลเป็นภาษาไทยให้งงอยู่ดีว่า “อัตราทด”
ตัวอย่างเช่น
การลงทุนปกติ เราซื้อของจากผู้ผลิตด้วยเงิน 1,000 บาท ซื้อของแล้วเอาไปขาย ได้กำไร 100 บาท อยากรวยกำไรเยอะๆ ต้องเพิ่มเงิน ถึงจะขายเพิ่ม รวยขึ้นได้
แต่เราอาจจะทำในรูปที่ 2 แบบแค่ว่าเราวางแค่เงินมัดจำ เช่นเขาบอกว่า มัดจำ 1% พอ (สมมติ) ก็คือของราคา 1,000 บาท เราใช้เงินมัดจำ 10 บาท พอเราเอาของไปขายก่อน ลูกค้าจ่ายเรามา 1,100 บาท เราเก็บกำไร 100 แล้วจ่ายผู้ผลิตไปหักค่ามัดจำ 990 บาท
จะเห็นได้ว่าในกรณีที่ 2 เราสามารถเอาเงิน 10 บาทไปลงทุนให้ได้ 100 บาทได้ ใช่มะ?
เพราะฉะนั้นแล้ว เดิมที่ที่เราต้องลงทุนสินค้า 1,000 บาทต่อชิ้น ก็เอาอีเงิน 1,000 ไปวางมัดจำได้ถึง 100 ชิ้น เมื่อขายหมด 100 ชิ้น เราจะได้กำไร 10,000 บาท
นี่ล่ะมันคือการใช้ Leverage ในการสร้างผลตอบแทนสูงๆ เราจะได้กำไร 10 เท่า 100 เท่าก็ได้ ไอ้เรื่องได้ 5% – 10% ต่อวันต่อเดือนมันมีหนทางทำได้อยู่ล่ะ
แต่อย่าลืมเรื่องข้อจำกัดมันด้วย หากไปซื้อของมา วางมัดจำแต่ดันขายของไม่ได้ นั่นหมายความว่า เดี๋ยวผู้ผลิตจะมาเก็บเงินเราเพิ่ม 990 บาทต่อชิ้นและถ้า เราเอา 1,000 ไปมัดจำ 100 ชิ้น ก็เตรียมตัวตายได้จากการจ่ายเพิ่มอีก 99,000 บาท
—
Leverage มันเลยเป็นสิ่งที่น่าอัศจรรย์ในการสร้างผลตอบแทน แต่ถ้าใช้ไม่เป็น ใช้แบบไม่ระวัง มันมีโทษสูงมาก เจ๊งได้อย่างน่าอัศจรรย์เช่นกัน
บางทีเราเก็งกำไรด้วย Leverage พอเริ่มต้นยังไม่ทันเทรดเลย ดัน Overtrade แล้วเสือกไปผิดทางก่อน พังตั้งแต่นาทีแรก
การลงทุนที่สามารถใช้ Leverage ได้มีเยอะมาก… เช่น
- เทรด Forex เป็นหนึ่งในนั้น
- ค้าขายก็ใช้ Leverage ทางการเงินได้
- Day Trade หุ้นซื้อเช้าขายบ่ายก็ทำได้
- ผ่อนดาวน์คอนโดหลายๆห้องแล้วขายเก็งกำไร
- บัญชีเงินกู้ ใช้มาจิ้นเล่นหุ้น ก็ใช่ป่ะ?
- ตราสารอนุพันธ์ต่างๆ
- ฯลฯ
จริงๆมันไม่ได้ผิดที่ทรัพย์สินหรอก มันผิดที่เราเองนั่นล่ะมี่อยากไปเล่นกับความเสี่ยงที่เกิดจากความโลภและอยากได้ผลตอบแทนสูงๆ
บางคนรู้แต่อยากเสี่ยงก็ใจากโลภ บางคนไม่รู้เรื่องอะไรเลย เพื่อนชวนก็มา นี่มันทั้ง ไม่รู้และโลภไปด้วยกันเลย
—
ชีวิตผมก็มีโอกาสได้ทดลองอะไรกับความเสี่ยงแบบนี้มาเหมือนกัน เคยเงินหายเป็นหลักล้านบาท และต้องทราบไว้ว่าเวลาได้ ได้เยอะจริง แต่เวลาเสีย เสียมากกว่าได้เสมอ
เพราะฉะนั้นแล้วเวลาที่เราไปเจอคนมาชวนลงทุนได้ 5-10% ต่อวันต่อเดือน ให้คิดไว้ก่อนเลยว่า “ความเสี่ยงมันต้องสูงมากๆแน่ๆ”
แต่ถ้าเขาบอกว่า “การันตี ได้ตลอด ไม่เจ๊ง” พร้อมแสดงหลักฐานห่าเหวอะไรออกมาว่า คนอื่นๆก็ได้กันตลอด ให้สันนิษฐานไว้ก่อนเลยว่า “กำลังมาหลอกแล้ว” แบบนี้มีโอกาสเป็นแชร์ลูกโซ่ได้สูงมาก
ตามหลักกลไก 3 พลังเองก็บอกได้ ถ้าลงทุนน้อย – ระยะเวลาสั้นๆ – ผลตอบแทนสูง พวกนี้ความเสี่ยงสูงตามหลักการเลย แถมเจ๊งเร็วด้วย บางทีไม่กี่นาทีก็บินปลิวไปแล้ว
โดยส่วนตัวผมเชื่อว่ามันไม่มีอะไรง่ายหรอกโลกนี้ ถ้าง่ายแล้วรวยก็ไม่ถึงมือคนชั้นกลางอย่างเราๆหรอก และถ้ามันง่ายพอจะทำให้คนไทยอยู่ดีกินดี รัฐบาลแม่งคงประกาศเป็นวาระแห่งชาติไปแล้ว
—
ก็เจอมาเยอะล่ะ เรื่องแบบนี้ แต่ผมก็เจอคนที่เล่นกับ Leverage และสร้างระบบเก่งๆก็มี คนเหล่านี้สร้างผลกำไรได้เยี่ยมมากๆ บนความเสี่ยงสูงมาก แต่เขาประเมินทางออกเมื่อเกิดความผิดพลาดได้ ที่สำคัญคือพวกนี้มีความรู้มากจริงๆ และเจ๊งมาเยอะ… ก่อนได้ Skill และประสบการณ์มาทำให้ตัวเองเป็นวันนี้
คนเหล่านี้ก็ไม่เคยบอกเลยว่า “การันตีผลตอบแทน” บอกแค่ว่าทำได้ประมาณไหน โอกาสเจ๊งมี ถ้าเจ๊ง ก็ต้องหาทางรับมือยังไง เขาจะวางกรอบการแก้ปัญหาได้มากพอที่จะลดความสูญเสียให้น้อยที่สุด (ก็อาจจะเสียอยู่ดี แต่เสียไงให้น้อยๆนี่คือโจทย์)
—
นอกจากเรื่องขาดทุนนะ ถ้าเราประสบความสำเร็จในทำอะไรเสี่ยงๆแบบนี้ เราจะคิดว่าเงินมันมาง่าย พอมาง่ายก็จะใช้จ่ายง่าย เปย์นั้นนี้ ไม่ก็จะเอาเงินไปสร้างผลกำไรบนความเสี่ยงแบบนี้ทบๆเรื่อย พอเจ๊งทีก็เริ่มกันใหม่ สรุป ไม่รวยซักทีอยู่ดี
เรื่องนี้เกิดกับผมมาละ โลภ แล้วได้ รวยยย ทบเงินต่อจ้า โดยไม่คิดหรอกว่าจะพลาด แต่พลาดทีที่เคยทำไว้หายหมด
ท้ายสุดต้องกลับมา Back to Basic ลงทุนในหุ้น ค่อยๆเป็นค่อยๆไป DCA ไป ถ้าได้เฉลี่ยปีละ 7-10% ในระยะยาวโอเคกว่าล่ะ